บันทึกที่อยากจะเล่าสู่มุมมองของคนปฏิบัติกรรมฐานไว้อ่านเตือนใจตัวเอง หรือ คนอื่นที่ปฏิบัติกรรมฐานมาสักระยะหนึ่งแล้ว อยากลองหาประสบการณ์ที่คนทำมาแล้ว ว่าเจอแบบนี้แล้วจะไปยังไงต่อ ซึ่งทั้งหมดที่เล่ามาใน Blog นั้นเก็บไว้เตือนใจตัวเองเพราะเป็นประสบการณ์ที่ดี และ ประสบการณ์ที่เลวร้าย เพราะการฝึกของเรานั้น ครูบาอาจารย์นั้นไม่มีชีวิตอยู่ใช้เพียงจิต เป็นการสื่อสารแบบลงลึก
****จิตที่หลงในสมาธิ****
สำหรับคนที่ปฏิบัติกรรมฐานมาสัก 2 -3 ปี เป็นอย่างต่ำ สำหรับผมนี่ก็น่าจะ 10 กว่าปีได้แล้วมั้งที่ปฏิบัติมาอาจจะเป็นเพราะความเหงา , ความเครียด การหาทางออกไม่ได้ ติดอยู่กับอดีต เบื่อหน่ายในชีวิต แล้ว หาทางออกโดยการไปนั่งในห้องพระแล้วฟัง Youtube ทั้งพลังงานจักรวาล , การเปิดตาที่สาม, การฟังธรรมะ ของอานนท์เล่าเรื่อง, การฟังการเข้ากรรมฐานของหลวงปู่ฤาษีลิงดำ การกำหนดลมหายใจ อื่น ๆ จนถึงการเข้าความรู้สึกในฌาณ ว่าอารมย์เป็นแบบไหนรวมถึงการดับในสมาธิ ในฌาณ 4 ซึ่งทุกอย่างที่ฟังมานั้นชีวิตนี้ได้ลองมาทั้งหมดแล้ว ผลปรากฏที่ได้ปฏิบัติตามในสมาธิเป็นแบบนี้
- การเดินทางของแสงขาว ม่วง พลังงานจักรวาลทางมึด จนกระทั่งจิตที่วิ่งเหมือนรถยนต์สูตร 1 Fomular one จิตวิ่งแบบความเร็วของรถยนต์ มุ่งสู่ข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วแสง
- การย้อนอดีตในภาพวัยเด็กที่ไม่คิดว่าจะจำความได้ น่าจะ 1 ขวบเป็นต้นไป
- ภาพที่เราเห็นจำนวนมากทั้งที่เจอในปัจจุบัน และ อดีต และการคิดไปเองของจิตไปเจอนรก สวรรค์ ภพต่าง ๆ
- การเห็นภาพตัวเองในอดีตชาติ
- การเบื่อหน่ายในชีวิตจริงที่จะใช้ชีวิตอยู่
- การไม่รับกับความทุกข์หลังจากปฏิบัติ
และที่สำคัญคือ การเสพติดของอารมย์ติดสุข อารมย์ติดสุข คืออะไร เป็นอารมย์ที่คล้าย ๆ กับคนติดยาเสพติด แล้วมีอารมย์แบบนั้นขึ้นมาโดยที่ธรรมชาติของมนุษย์เราไม่สามารถผลิดออกมาได้ ต้องเสพมากขึ้นเช่นเดียวกับการนั่งสมาธิ แล้วมีอารมย์ติดสุข แบบนี้ (ซึ่งบอกได้คำเดียวว่า ตรงนี้อันตรายมาก ถึงมากที่สุด)
เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้น ชอบทุกอย่างที่เป็นความสุข ไม่อยากจมอยู่กับความทุกข์ อะไรที่เราเสพติดแล้วเป็นความสุข ก็จะยิ่งทำยิ่งหลงยิ่งติด มากขึ้น มันคือหนทางการปฏิบัติกรรมฐานสู่การไม่ยอมรับความจริง การหนีจากความทุกข์ หรือ ไม่สามารถอยู่กับโลกของปัจจุบันได้ ไม่สามารถรับกับความทุกข์ได้ และ จะพาเราไปสู่โรคซึมเศร้า ผลเสียสู่การไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ มารู้ตัวเองอีกทีเกือบจะสายเกินไป เพราะการได้ไปคุยกับคนที่เขาปฏิบัติแล้วผ่านมาแล้ว ว่าเราเดินมาผิดทาง ให้ดึงสติ และ จิตที่หลงไปกลับคืนมาโดยเร็ว อย่าให้ลึกไปกว่านี้ ซึ่ง ณ ตอนนี้สำหรับคนที่ปฏิบัติแล้วมาถึงตรงนี้ คงรู้จักกาย แยกออกจากจิตแล้ว การจะดึงจิตกลับมาจากการลุ่มหลงในความสุข ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องจุดธูปอธิษฐานถึงครูบาอาจารย์ บอกว่าลูกเดินผิดทางในกรรมฐาน ขอจิตกับมาสู่กาย แล้วปฏิบัติทางใหม่ในทางเดินขององค์สมเด็จพระสัมมาสัพพุทธเจ้า ร่างกายและจิต ถึงเริ่มกลับมาดีขึ้น ตรงนี้อยากจะเขียนเตือนตัวเองไว้ และ คนที่ปฏิบัติเองถ้ามาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกตรงนี้เหมือนกัน รีบดึงสติและจิตกลับมา เพราะปลายทางเลวร้ายที่สุดคือการฆ่าตัวตาย ไม่ได้ไปสู่นิพพานนะ (คิดว่าหลายคนน่าจะเป็น)
การหนีทุกข์ และ การพ้นทุกข์
เส้นบาง ๆ ระหว่างการพ้นจากทุกข์ และการหนีทุกข์ การหนีทุกข์ คือ การไม่ยอมรับความจริง , ไม่สามารถรับกับความผิดหวังได้ ,ไม่อยากให้จิตใจกระทบกระเทือนหรือทุกข์ไปมากกว่านี้ หนทางนี้เป็นหนทางที่เราเดินทางมาจากข้อความด้านบน เป็นหนทางการดับที่ผิด เพราะปลายทางของหนทางนี้ คือ การหนีออกจากโลกปัจจุบัน ซ้ำร้ายคือจะทำร้ายตัวเอง
การพ้นทุกข์ ที่สัมผัสได้ คือการอยู่กับความทุกข์ ความกังวล ความกลัวให้ได้ ให้เข้าใจตามธรรมชาติของความทุกข์ ธรรมะของพระพุทธเจ้า บางทีก็ยากที่จะเข้าใจแบบลึกซึ้งของหัวใจนะ ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ มรรค จนกระทั่งต้องทุกข์กับปัญหาทางด้านใจจริง ๆ เช่น กลัว ผิดหวัง เสียใจ จริง ๆของชีวิตที่เกิดขึ้น ยอมรับความจริง แล้วเข้าใจมันว่าทุกข์ เพราะหลาย ๆ อย่างเราไม่รู้ ไอ้ไม่รู้นี่แหละ ที่ทำให้เราคิดทุกอย่างวนลูป แบบไร้สาระมากมาย ซึ่งถ้าเราไม่สามารถแก้ตรงนี้ได้ มันก็จะตามหลอกหลอนเราไปตลอดเวลา นี่แหละ คือทางหลุดพ้น เราต้องชนะมัน
เตือนตัวเอง : ใช้ชีวิตอยู่ยังไงให้อยู่กับความทุกข์ให้ได้ ไม่ต้องคำนึงถึงสุขมากมาย
นี่ก็อีกสิ่งที่อยากจะบันทึกไว้ ยามทุกข์ แล้วกลับมาอ่านอีกครั้ง เพื่อเรียกสติตัวเองกลับมา
- ธรรมชาติก็คือธรรมชาติ ทุกข์ สุข เหงา ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน อย่าหนีความจริง ยอมรับความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ก็ให้มันเกิดไป เราอยู่แบบมีสติ ให้รู้ว่า สุขหวะ ทุกข์หวะ แล้วหัวเราะกับมัน
- อย่าเปรียบเทียบชีวิตเรา กับคนอื่น ถ้าเครียดเบื่อ Facebook ไม่ใช่ทางออก กิจกรรมที่ดีคือ การอยู่กับครอบครัว ช่างแม่ง ช่างมัน จำเป็นมากในการใช้ชีวิตในปัจจุบัน
- อย่าอยู่กับอดีต ==> เป็นอะไรที่สำคัญที่สุดแล้วของชีวิต เมื่อวานก็คือเมื่อวาน ผ่านมาแล้วปล่อยไป ทุกข์ สุข เศร้า เหงา เสียใจผิดหวัง ต้องปล่อย ปล่อยก็คือปล่อยจริง ๆ นะ ไม่ใช่เอามาคิด
- ให้อยู่กับปัจจุบัน ==> พอใจกับที่นอนตรงหน้า , มีข้าวให้กิน มีลมหายใจ มีร่างกายครบ
- อนาคต ==> สำหรับตัวเราเองเมื่อก่อนเครียดทุกวัน เพราะ ใช้ความกลัว ในชีวิต ทำให้ปัจจุบันไม่มีความสุขเลยในแต่ละวัน เลยไม่รู้ว่าอนาคต มันมีไว้ทำไม ก็เลยช่างมันละสำหรับอนาคต แต่ต้องมีเป้าหมายนะ
- เป้าหมายเรา อะไรคือความสุข
- ทำเป้าหมายเราให้มีความสุข สำหรับเราจุดนี้แหละ เป็นตัวชี้นำว่าทำไมตัวเราถึงเป็นไม้หลักปักขี้เลน หาความเป็นตัวตน ความมั่นใจตัวเองได้น้อย เพราะ เป้าหมายเราไม่ชัด เช่น เราอยากจะมีร้านค้าขาย ,ทำระบบ E-Commerce ไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร อยากไปเรียนนวด แต่ก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้สักที เพราะ ทุกครั้งที่มีปัญหาในการหาเงิน จะวน Loop ของการเป็นลูกจ้าง แล้ว ก็ กลัว ตกงาน หางานใหม่ ตรงนี้สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตละ ต้นตอที่เกิดจากความทุกข์ในงาน แล้วก็ไปแก้ปัญหาโดยการนั่งสมาธิเพื่อหนีความจริง ซึ่งเป้าหมายที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขต้องทำให้ได้ตามความฝัน ย้ำเลยว่าตัวนี้สำคัญที่สุดแล้ว
- ทางสายกลาง
- ชิวิตเราตัวผมเองส่วนใหญ่ จะจมอยู่กับความทุกข์ ต้องรีบดึงตัวเองขึ้นมาให้อยู่ตรงกลาง การใช้ชีวิต บอกจิตให้ช่างแม่งช่างมัน คือ จุดใหญ่สำคัญของการเดินทางสายกลาง
- ความกลัว กังวล ==>อะไรคือตัวปัญหาใหญ่สุดของความทุกข์ บอกได้เลยว่า 2 ตัวนี้ ซึ่งใครที่จะสามารถกำจัด 2 ตัวนี้ออกไปจากจิตใจได้ ถือว่าเป็นคนที่มีความสุขที่สุดแล้ว สำหรับตัวเรายังไม่เก่งพอ แต่คิดว่าจะพยายามชนะมันไปทีละอย่าง
ขอบันทึกกรรมฐานที่ไว้เตือนใจตัวเอง ที่ได้สติกลับคืนมาแล้ว
Webmaster
Anantachai ittiworapong